ประโยชน์ของการทำประกัน ที่หลายคนอาจยังไม่รู้
"การซื้อประกันไม่ได้ทำให้คุณร่ำรวย แต่การไม่มีประกันจะทำให้คุณล้มละลาย"
คุณคงเคยได้ยิน Quote นี้ใช่ไม๊ครับ ผมว่ามันโคตรจริง วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง (ไม่ได้จะมาขายประกันนะครับ ขอซื้อก็ไม่มีให้^_^)
ตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ถ้าได้ยินว่าเพื่อนคนไหนขายประกันนี่... หลบให้ไว! เราคงเคยเจอกันทุกคน คนขายประกันแบบ PUSH กดดันให้เราซื้ออย่างเดียว ไม่ได้อธิบายว่ามันดียังไง พอถามอะไร ก็เหมือนท่องมาตอบ อารมประมาณ "ตูไม่รู้ แต่ซื้อตูเหอะ" เพื่อนบางคนปกติไม่เคยอยากเจอเรา อยู่ดีๆ ก็ดันมาอยากเจอ ไอ้เราก็นึกว่าเพื่อนคิดถึงต้องไปเจอซะหน่อย แต่เปล่าเล้ยยยย มาถึงขายรัวๆๆๆ
จากประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่จากพวกขายประกันแบบ PUSH ประกอบกับการไม่มีความรู้ทางการเงินอะไร ทำให้ผมหนีห่างจากประกันทุกรูปแบบ พอได้ยินคำว่า "ทำประกัน" เหมือนหูดับ ไม่อยากฟังต่อ คิดแค่ว่า "เสียตังฟรีชัดๆ"
เวลาผ่านไปซักพัก ทำงานได้ 3 ปี เริ่มอยากซื้อบ้าน ธนาคารให้ทำประกันชีวิตและประกันอัคคีภัยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ผมยังคงไม่ค่อยอยากซื้อ แต่ก็ทำไปเพราะอยากได้บ้าน ทำให้ผมเริ่มมาคำนวนความคุ้มค่าของเงินประกันที่จ่าย เมื่อเทียบกับกรณีเกิดเหตุร้าย เริ่มมองเห็นประโยชน์ของประกัน แต่ก็ยังไม่อินอยู่ดี
จนมาวันนึงคนใกล้ตัวป่วยแบบไม่ทันคาดคิด แน่นอนครับว่าเราต้องส่งเค้าไปรับการรักษาที่ดีที่สุด เรื่องเงินเป็นเรื่องรอง พอบิลออกมาซัดไปเกือบแสน... ซึ่งถือว่าหนักมากสำหรับผมในตอนนั้น แถมไม่ได้เตรียมเงินสดเผื่อไว้เลย ในขณะที่กำลังนั่งคิดว่าดึงเงินจากตรงไหนมาจ่ายดี ก็มีเสียงสวรรค์ดังมาบอกว่า "มีประกันที่แม่ทำไว้ให้ตั้งแต่หลายสิบปีก่อน จ่ายเบี้ยเพื่อคุ้มครองทุกปี Cover ค่ารักษาได้!!!"
ผมเริ่มเข้าใจคำว่าประกัน ทำให้มานั่งคิดได้ว่า... วันที่คนที่เรารักเจ็บป่วย เราจะทนเห็นเค้ารับการรักษาที่ไม่เต็มที่เพราะอยากประหยัดได้จริงๆ หรอ? ถ้าจ่ายเต็มที่แล้วจ่ายไม่ไหวจะทำยังไง? ผมเริ่มศึกษามากขึ้นจนพบว่า "นี่เราเอาแต่หนี แค่เพราะไม่ชอบคนขายประกันแบบ Push จนกำลังจะทำให้ตัวเองและครอบครัวซวยไปกันหมด"
คนเราทุกคนมีความเสี่ยงอยู่รอบตัว เราควรมีประกันสำหรับความเสี่ยงที่มีผลกระทบรุนแรง หรือที่ผมชอบเรียกว่า "ความเสี่ยงร้ายแรง" แล้วอะไรคือความเสี่ยงร้ายแรง? อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วผลมันรุนแรงถึงขั้นพลิกชีวิตคุณได้ นั่นหละครับใช่เลย
แต่ละคนมีความเสี่ยงไม่เหมือนกัน ถ้าคุณเป็นศิลปินชื่อดัง คุณอาจทำประกันมือ ถ้าคุณเป็นดาราดัง คุณอาจทำประกันหน้า ถ้าคุณขายน้ำมัน คุณอาจทำประกันราคาสินค้าล่วงหน้า แต่ก็มีความเสี่ยงบางอย่างที่คนส่วนใหญ่มีเหมือนกันนะ เช่น เจ็บป่วย อุบัติเหตุ และ อัคคีภัย
พอเริ่มเข้าใจ ผมเลือกทำประกันโรคร้าย, ประกันชีวิต, ประกันอุบัติเหตุ และประกันอัคคีภัย นอกจากนี้ ผมเป็นนักลงทุนอสังหาฯ มีความเสี่ยงร้ายแรงในกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแล้วดอกเบี้ยพุ่ง ผมเลยทำประกันให้ตัวเองผ่านการซื้อทอง อย่างที่บอกครับ ประกันจะเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่มันปิดความเสี่ยงร้ายแรงของเราได้
แต่ๆๆ ความเสี่ยงของผมกับของคุณไม่เหมือนกันนะ คุณอาจจะใช้แผนประกันของผมไม่ได้.. ลองหาเวลานั่งคิดดูนะครับ ว่าอะไรคือความเสี่ยงร้ายแรงสำหรับคุณ แล้ววางแผนประกันให้กับมัน อย่าไปทำประกันมั่วซั่วนะครับ ถ้าคุณปิดความเสี่ยงที่ไม่ใช่ของคุณ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสียเงินฟรี ถ้ายังจ่ายค่าประกันเพื่อคลุมความเสี่ยงทั้งหมดไม่ไหว ยังไม่ต้องรีบร้อนจนเกินไป ทำเพื่อครอบคลุมความเสี่ยงส่วนนึงไว้ก่อนก็ได้ครับ
อีกประเด็นที่อยากฝากไว้ก็คือ คนขายประกันแบบ Profression มีอยู่นะครับ พวกเค้าสามารถอธิบายข้อดี ข้อเสีย และประกันที่เหมาะกับเราได้ ไม่ใช่ Push ให้เราทำอย่างเดียว --- "ถ้าเราไม่ชอบคนขายประกันแบบ Push ก็ตัดพวกเค้าไป แต่อย่าตัดประกันออกจากชีวิตคุณ มันคนละประเด็นกัน!!!"
เชื่อผมเถอะครับ คนเราหนีความเสี่ยงไม่ได้ แต่ป้องกันได้ ควรมีประกันไว้เสมอ เพื่อป้องกัน "ความเสี่ยงร้ายแรง" อย่ารอให้เกิดเหตุร้ายแรงก่อน เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทำประกันคือเวลาที่เรายังไม่ต้องการใช้มันนี่หละครับ ถ้าเรารอจนวันที่เราอยากใช้มันก็สายไปแล้ว และอาจทำให้คุณล้มละลายไปเลยก็ได้...
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณครับ
#SalarymanEstator